ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางทั่วทุกมุมโลก และเป็นที่น่าสนใจว่านักเตะที่มีฝีเท้าโดดเด่นมักได้รับการยอมรับอย่างล้นหลามไม่เพียงแต่จากแฟนบอลที่ชื่นชมในความสามารถ แต่ยังรวมถึงสโมสรฟุตบอลชั้นนำต่าง ๆ ที่พร้อมทุ่มเทเงินทุนมหาศาลเพื่อดึงตัวผู้เล่นที่มีพรสวรรค์เหล่านี้เข้าร่วมทีม ด้วยเหตุนี้ การซื้อขายนักเตะในยุคปัจจุบันจึงกลายเป็นธุรกิจที่มีมูลค่ามหาศาลในวงการลูกหนัง โดยมีการทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อให้ได้นักเตะที่ต้องการ บทความนี้จะพาทุกท่านไปรู้จักกับ 7 อันดับ นักเตะค่าตัวแพง ที่สุดในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอล พร้อมทั้งเจาะลึกข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการย้ายทีมของพวกเขา รวมถึงเบื้องหลังการเจรจาและผลกระทบที่เกิดขึ้นในวงการฟุตบอล
7 อันดับ นักเตะค่าตัวแพง ที่สุดในประวัติศาสตร์
7 อันดับ นักเตะค่าตัวแพง ที่สร้างปรากฏการณ์และความตื่นตาตื่นใจให้กับวงการฟุตบอลระดับโลก โดยการย้ายทีมของพวกเขาไม่เพียงแต่สร้างมูลค่าทางการเงินที่สูงลิ่วจนทำลายสถิติ แต่ยังส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงในวงการลูกหนังอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในแง่ของการกำหนดมาตรฐานใหม่ในตลาดซื้อขายนักเตะ การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของสโมสรในการรักษาผู้เล่นคนสำคัญ และการสร้างความคาดหวังใหม่ๆ ในวงการฟุตบอลระดับสูง
1. เนย์มาร์ (Neymar Jr.)
เนย์มาร์ กลายเป็นนักเตะที่ทำลายสถิติค่าตัวแพงที่สุดในโลกในปี 2017 เมื่อเขาย้ายจากสโมสรบาร์เซโลนา (Barcelona) ไปยังปารีส แซงต์-แชร์กแมง (Paris Saint-Germain หรือ PSG) ด้วยค่าตัวสูงถึง 222 ล้านยูโร การย้ายทีมครั้งนี้สร้างความตื่นตะลึงให้กับวงการฟุตบอลทั่วโลก ด้วยความสามารถอันโดดเด่นในการเลี้ยงบอล การจ่ายบอล และการทำประตู เนย์มาร์มีบทบาทสำคัญทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติบราซิล จนได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีทักษะและพรสวรรค์มากที่สุดในยุคปัจจุบัน
การย้ายทีมของเนย์มาร์ไม่เพียงแต่สร้างประวัติศาสตร์ในด้านค่าตัว แต่ยังส่งผลกระทบอย่างมากต่อโครงสร้างการซื้อขายนักเตะในตลาดยุโรป สโมสรต่าง ๆ เริ่มตระหนักถึงความจำเป็นในการปรับตัว โดยเฉพาะการเพิ่มมูลค่าและค่าฉีกสัญญาของผู้เล่นที่มีความสามารถ เพื่อป้องกันการสูญเสียนักเตะคนสำคัญไปยังทีมที่มีกำลังทางการเงินสูงกว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้ตลาดซื้อขายนักเตะมีมูลค่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
2. คีเลียน เอ็มบัปเป้ (Kylian Mbappé)
คีเลียน เอ็มบัปเป้ สร้างความฮือฮาให้กับวงการฟุตบอลด้วยการย้ายจากโมนาโก (Monaco) มายังปารีส แซงต์-แชร์กแมง ด้วยค่าตัวที่คาดการณ์ไว้ที่ 180 ล้านยูโร ด้วยความเร็ว พลัง และไหวพริบในการทำประตูที่เหนือชั้น เอ็มบัปเป้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีศักยภาพสูงที่สุดในยุคนี้ ความสามารถของเขาได้รับการพิสูจน์ชัดเจนเมื่อเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยให้ทีมชาติฝรั่งเศสคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกปี 2018 ซึ่งตอกย้ำถึงคุณค่าของค่าตัวที่สโมสรจ่ายไป
การซื้อขายของเอ็มบัปเป้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มของสโมสรชั้นนำที่มุ่งเน้นการลงทุนในนักเตะดาวรุ่งที่มีพรสวรรค์และศักยภาพสูง การตัดสินใจนี้ไม่เพียงเป็นการลงทุนระยะยาวในด้านกีฬา แต่ยังเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ชาญฉลาด ด้วยการสร้างแบรนด์และภาพลักษณ์ที่ทันสมัย สามารถดึงดูดแฟนบอลรุ่นใหม่และสร้างฐานแฟนคลับที่แข็งแกร่งให้กับทีม
3. ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ (Philippe Coutinho)
ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ย้ายจากลิเวอร์พูลไปบาร์เซโลนาด้วยค่าตัวที่ประมาณ 145 ล้านยูโร ในปี 2018 การย้ายทีมครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความต้องการของบาร์เซโลนาในการหาผู้เล่นที่สามารถทดแทนตำแหน่งของเนย์มาร์ได้ คูตินโญ่เป็นที่รู้จักในฐานะมิดฟิลด์ตัวรุกที่มีทักษะการเลี้ยงบอลและการยิงระยะไกลที่ยอดเยี่ยม อย่างไรก็ตาม คูตินโญ่ไม่สามารถแสดงผลงานที่สม่ำเสมอในทีมได้เท่าที่คาดหวัง ทั้งในแง่ของการสร้างสรรค์เกมรุกและการทำประตู
แม้ค่าตัวของคูตินโญ่จะสูง แต่คำถามเกี่ยวกับความคุ้มค่าของการลงทุนยังคงเป็นที่ถกเถียงในหมู่แฟนบอลและผู้เชี่ยวชาญฟุตบอล การซื้อขายในราคาสูงไม่ได้การันตีถึงความสำเร็จเสมอไป การปรับตัวเข้ากับสไตล์การเล่นของทีมใหม่และความกดดันจากค่าตัวที่สูงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการเล่นของนักฟุตบอล
4. อุสมาเน่ เดมเบเล่ (Ousmane Dembélé)
อุสมาเน่ เดมเบเล่ ย้ายจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (Borussia Dortmund) ไปยังบาร์เซโลนาในปี 2017 ด้วยค่าตัวประมาณ 140 ล้านยูโร การย้ายทีมครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากการจากไปของเนย์มาร์ เดมเบเล่ถูกคาดหวังให้เป็นผู้เล่นที่สามารถเติมเต็มช่องว่างในทีม ด้วยความเร็วและทักษะการเลี้ยงบอลที่ยอดเยี่ยม อย่างไรก็ตาม เขามักประสบปัญหาอาการบาดเจ็บที่ส่งผลต่อผลงานในสนาม ทำให้ไม่สามารถลงเล่นได้อย่างต่อเนื่องตามที่ทีมต้องการ
ค่าตัวที่สูงมักมาพร้อมกับความคาดหวังมหาศาล เดมเบเล่เองต้องเผชิญกับความกดดันทั้งจากสโมสรและแฟนบอล ซึ่งเป็นบททดสอบสำคัญในอาชีพของเขา การจัดการกับความคาดหวังและการรักษาสภาพร่างกายให้พร้อมลงสนามเป็นความท้าทายที่เขาต้องเอาชนะเพื่อพิสูจน์ความคุ้มค่าของค่าตัว
5. ชูเอา เฟลิกซ์ (João Félix)
ชูเอา เฟลิกซ์ ย้ายจากเบนฟิก้า (Benfica) ไปยังแอตเลติโก มาดริด (Atletico Madrid) ในปี 2019 ด้วยค่าตัว 126 ล้านยูโร เฟลิกซ์ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักเตะดาวรุ่งที่มีศักยภาพสูงที่สุดในยุโรป ด้วยวิสัยทัศน์ในการเล่น ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการจบสกอร์ที่ยอดเยี่ยม การย้ายทีมครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของแอตเลติโก มาดริด ในการเสริมทีมเพื่อลุยศึกในลีกและยุโรป
เฟลิกซ์ยังคงเป็นนักเตะที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะในเรื่องของการพัฒนาฝีเท้าและการปรับตัวให้เข้ากับลีกที่มีการแข่งขันสูงอย่างลาลีกา การปรับตัวเข้ากับระบบการเล่นที่เน้นการรับและโต้กลับของทีมเป็นความท้าทายที่สำคัญในการพัฒนาศักยภาพของเขาให้เต็มที่
6. แจ็ค กรีลิช (Jack Grealish)
แจ็ค กรีลิช สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการฟุตบอลอังกฤษ เมื่อเขากลายเป็นนักเตะอังกฤษที่มีค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ การย้ายจากแอสตัน วิลล่า (Aston Villa) สโมสรที่เขาเติบโตมาตั้งแต่เยาว์วัย ไปยังแมนเชสเตอร์ ซิตี้ (Manchester City) ด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 117 ล้านยูโร ในปี 2021 การย้ายทีมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ต้องการเพิ่มมิติใหม่ให้กับแนวรุกของทีม โดยเฉพาะในการสร้างสรรค์เกมบุกที่หลากหลายและไม่สามารถคาดเดาได้
กรีลิชโดดเด่นด้วยทักษะการเลี้ยงบอลที่เหนือชั้น วิสัยทัศน์ในการจ่ายบอลที่แม่นยำ และความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างโอกาสทำประตู การย้ายมาสู่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ไม่เพียงแต่เปิดโอกาสให้เขาได้แสดงศักยภาพในรายการระดับสูงอย่างยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก แต่ยังช่วยพัฒนาการเล่นของเขาภายใต้การคุมทีมของกวาร์ดิโอล่า ซึ่งเป็นหนึ่งในกุนซือที่ดีที่สุดในโลก
7. เอนโซ เฟร์นันเดซ (Enzo Fernández)
เอนโซ เฟร์นันเดซ ดาวรุ่งชาวอาร์เจนตินาสร้างความฮือฮาในตลาดซื้อขายนักเตะ เมื่อเขาย้ายจากเบนฟิก้าไปร่วมทัพเชลซีในเดือนมกราคม 2023 ด้วยค่าตัวสถิติใหม่ 121 ล้านยูโร ซึ่งทำให้เขากลายเป็นนักเตะอาร์เจนตินาที่มีค่าตัวสูงที่สุดตลอดกาล การตัดสินใจของเชลซีในการทุ่มทุนครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เขาแสดงฟอร์มอันยอดเยี่ยมในการพาทีมชาติอาร์เจนตินาคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2022 ซึ่งตอกย้ำถึงศักยภาพระดับโลกของเขา
เอนโซได้รับการยกย่องว่าเป็นมิดฟิลด์ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ความสามารถในการอ่านเกม และทักษะการเล่นบอลที่ครบเครื่อง ทั้งการครองบอล การจ่ายบอล และการยิงประตู เชลซีเชื่อมั่นว่าเขาจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาทีมในระยะยาว และเป็นแกนหลักในการสร้างความสำเร็จในอนาคต
ทำไมค่าตัวนักเตะถึงเพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน?
ค่าตัวนักเตะในวงการฟุตบอลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมกีฬา
รายได้จากลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด
การแข่งขันฟุตบอลระดับสโมสรและทีมชาติมีมูลค่าสูงขึ้นจากลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดทางทีวีและแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง สโมสรที่ได้รับส่วนแบ่งรายได้เหล่านี้มีงบประมาณเพิ่มขึ้น ทำให้สามารถจ่ายค่าตัวนักเตะได้สูงขึ้นเพื่อแข่งขันกับทีมอื่น
การตลาดและภาพลักษณ์ของนักเตะ
นักเตะระดับโลกไม่ได้เป็นแค่ผู้เล่นในสนาม แต่ยังเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่สำคัญ สโมสรยอมจ่ายค่าตัวสูงเพราะมองว่านักเตะสามารถสร้างรายได้จากการขายเสื้อ, การโฆษณา, และการเพิ่มฐานแฟนบอลทั่วโลก
การแข่งขันในตลาดการซื้อขายนักเตะ
สโมสรใหญ่ในยุโรป เช่น เรอัล มาดริด, ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มักแข่งขันกันเพื่อซื้อนักเตะฝีเท้าดี ทำให้ราคานักเตะพุ่งสูงขึ้นจากการเสนอราคาแข่งขัน
เอเยนต์และค่าฉีกสัญญา
เอเยนต์นักเตะมีบทบาทสำคัญในการเจรจาเพื่อเพิ่มมูลค่าของผู้เล่น โดยเฉพาะการใส่เงื่อนไขค่าฉีกสัญญาที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคานักเตะในตลาดพุ่งสูงเกินจริง
ผลกระทบของเทคโนโลยีและสื่อต่อค่าตัวนักเตะ
เทคโนโลยีและสื่อดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงตลาดนักเตะในยุคปัจจุบัน โดยการพัฒนาของเทคโนโลยีได้เปิดโอกาสให้สโมสรสามารถวิเคราะห์ศักยภาพของนักเตะได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ขณะเดียวกัน สื่อดิจิทัลก็ช่วยขยายฐานแฟนบอลและเพิ่มมูลค่าทางการตลาดของนักเตะผ่านช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ ทำให้การประเมินมูลค่านักเตะในปัจจุบันต้องพิจารณาทั้งความสามารถในสนามและอิทธิพลในโลกดิจิทัลควบคู่กันไป
-
การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics)
สโมสรใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประเมินฝีเท้าและศักยภาพของนักเตะ ทำให้สามารถคาดการณ์ถึงมูลค่าในอนาคต นักเตะที่มีสถิติเด่นในสนาม เช่น จำนวนประตู, การแอสซิสต์ หรือระยะวิ่ง มักมีค่าตัวสูงขึ้นตามข้อมูลที่สนับสนุน นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยี VAR (Video Assistant Referee) เข้ามาในวงการฟุตบอล ไม่เพียงช่วยเพิ่มความยุติธรรมในเกมการแข่งขัน แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลการแข่งขันย้อนหลัง สโมสรสามารถใช้ข้อมูลที่ได้รับจาก VAR เพื่อตรวจสอบจุดแข็งและจุดอ่อนของทีม รวมถึงพฤติกรรมในสนามของนักเตะ เพื่อพัฒนากลยุทธ์และปรับปรุงการเล่นให้ดียิ่งขึ้น
-
แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
นักเตะที่มีฐานแฟนคลับในโซเชียลมีเดีย เช่น Instagram, X หรือ TikTok มีมูลค่าทางการตลาดสูงขึ้น สโมสรมองว่าความนิยมของนักเตะในโลกออนไลน์ช่วยเพิ่มรายได้ทางอ้อมจากการขายสินค้าและการโปรโมตทีม
-
การถ่ายทอดสดและสตรีมมิ่ง
การแข่งขันฟุตบอลสามารถรับชมได้ทั่วโลกผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น YouTube และบริการสตรีมมิ่ง ทำให้ฐานแฟนบอลทั่วโลกขยายตัว นักเตะที่ได้รับความนิยมจากแฟนบอลในหลายประเทศมักมีค่าตัวสูงขึ้นเนื่องจากสามารถสร้างรายได้ระยะยาวให้กับสโมสร
-
NFT และเมตาเวิร์ส
ในยุคที่ NFTs และ Metaverse เริ่มมีบทบาทในวงการกีฬา นักเตะที่ได้รับการโปรโมตผ่านโปรเจกต์ดิจิทัลเหล่านี้ เช่น การขาย NFT ของภาพหรือวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา มักมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในสายตาสโมสร
แนวโน้มตลาดนักเตะในอนาคต
ตลาดนักเตะในอนาคตมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและน่าจับตามอง โดยการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่มูลค่าการซื้อขาย แต่ยังรวมถึงวิธีการทำธุรกรรม รูปแบบการพัฒนานักเตะ และบทบาทของเทคโนโลยีในวงการฟุตบอล ซึ่งมีปัจจัยสำคัญหลายประการที่จะส่งผลกระทบต่อทิศทางการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงของตลาดนักเตะในอนาคต ดังต่อไปนี้
- ค่าตัวนักเตะสูงขึ้นต่อเนื่อง: ด้วยรายได้ของสโมสรที่เพิ่มขึ้นจากการขายลิขสิทธิ์และการตลาด ค่าตัวนักเตะอาจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะนักเตะดาวรุ่งที่มีศักยภาพสูง
- การซื้อขายนักเตะผ่านเทคโนโลยี Blockchain: การใช้ Blockchain อาจทำให้การซื้อขายนักเตะมีความโปร่งใสและปลอดภัยมากขึ้น สโมสรและเอเยนต์สามารถติดตามรายละเอียดสัญญาและค่าธรรมเนียมอย่างชัดเจน
- การลงทุนในนักเตะเยาวชน: สโมสรจะเน้นลงทุนในนักเตะเยาวชนมากขึ้นเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการซื้อตัวผู้เล่นที่มีค่าตัวสูง นอกจากนี้ การสร้างอคาเดมีของสโมสรเองจะช่วยพัฒนานักเตะรุ่นใหม่ได้อย่างยั่งยืน
- การเพิ่มบทบาทของสปอนเซอร์: สปอนเซอร์อาจมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการซื้อขายนักเตะ เช่น การสนับสนุนค่าตัวหรือช่วยในการโปรโมตผ่านแบรนด์
- ความนิยมของฟุตบอลในตลาดใหม่: ตลาดฟุตบอลในประเทศแถบเอเชียและอเมริกาเหนือมีแนวโน้มเติบโต นักเตะที่มีชื่อเสียงอาจได้รับการเสนอราคาสูงจากสโมสรในภูมิภาคเหล่านี้ เพื่อขยายฐานแฟนบอลและเพิ่มรายได้จากการตลาด
- การเปลี่ยนแปลงกฎของ FIFA และ UEFA: กฎระเบียบใหม่ เช่น การควบคุมค่าใช้จ่ายของสโมสร (Financial Fair Play) อาจส่งผลต่อการกำหนดราคานักเตะในอนาคต
จาก 7 อันดับ นักเตะค่าตัวแพง ที่สุดในโลก มักเป็นผู้เล่นที่มีฝีเท้าและความสามารถยอดเยี่ยม แต่การซื้อขายในราคาสูงเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่านักเตะทุกคนจะประสบความสำเร็จในทีมใหม่ การลงทุนของสโมสรไม่เพียงเกี่ยวข้องกับฝีเท้าของนักเตะ แต่ยังรวมถึงภาพลักษณ์และการตลาดที่ผู้เล่นคนนั้นสามารถสร้างให้กับทีมได้ อย่างไรก็ตาม การซื้อขายนักเตะค่าตัวแพงยังคงเป็นเรื่องที่สร้างความสนใจให้กับแฟนบอลทั่วโลก สโมสรฟุตบอลที่อยู่ใน 10 ทีมที่คว้าแชมป์ลีกได้สูงสุด เช่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, บาเยิร์น มิวนิค, ยูเวนตุส และเอซี มิลาน มีประวัติในการลงทุนในนักเตะค่าตัวสูงเพื่อเสริมความแข็งแกร่งในสนามแข่งขัน รวมถึงการสร้างรายได้จากการขายสินค้าของทีม
คำถามที่พบบ่อย
1. ทำไมนักเตะถึงมีค่าตัวสูง?
นักเตะที่มีความสามารถและศักยภาพสูงสามารถสร้างความแตกต่างให้กับทีมได้อย่างมาก ทั้งในแง่ของผลงานในสนาม การสร้างรายได้จากการตลาด และการดึงดูดแฟนบอล สโมสรจึงยอมจ่ายเงินมากเพื่อดึงพวกเขามาร่วมทีม นอกจากนี้ การแข่งขันระหว่างสโมสรในการคว้าตัวนักเตะดาวดังยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ค่าตัวพุ่งสูงขึ้น
2. การย้ายทีมด้วยค่าตัวสูงมีความเสี่ยงหรือไม่?
มีความเสี่ยงหลายประการ เนื่องจากนักเตะอาจไม่สามารถปรับตัวกับทีมใหม่ สภาพแวดล้อม หรือรูปแบบการเล่นที่แตกต่าง อีกทั้งความกดดันจากค่าตัวที่สูงอาจส่งผลต่อสภาพจิตใจและการแสดงฟอร์มในสนาม บางครั้งการบาดเจ็บก็อาจทำให้การลงทุนไม่คุ้มค่า
3. ค่าตัวนักเตะขึ้นอยู่กับปัจจัยใดบ้าง?
ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่ ความสามารถและผลงานในสนาม อายุและศักยภาพในการพัฒนา ระยะเวลาที่เหลือในสัญญา ความต้องการของตลาดและสโมสรคู่แข่ง ชื่อเสียงและความนิยมของนักเตะ รวมถึงสถานะทางการเงินของสโมสรที่ต้องการซื้อและขาย
4. การย้ายทีมด้วยค่าตัวสูงส่งผลต่ออาชีพของนักเตะอย่างไร?
อาจสร้างความกดดันให้นักเตะต้องแสดงฟอร์มที่ดีเพื่อให้สมกับค่าตัวที่สโมสรจ่ายไป แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสในการพัฒนาตนเองในระดับที่สูงขึ้น ได้เล่นร่วมกับนักเตะระดับโลก และมีโอกาสประสบความสำเร็จในรายการสำคัญ นอกจากนี้ยังอาจได้รับค่าจ้างที่สูงขึ้นและโอกาสทางการตลาดที่มากขึ้น